วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เกาลัดของโปรดของใครหลายๆคน

เกาลัดคั่วที่เห็นมากแถวเยาวราช มักจะมีเม็ดสีดำเล็กๆ คั่วรวมอยู่ด้วย หลายคนคิดว่าเป็นเมล็ดกาแฟ จริงๆ แล้วไม่ใช่ เจ้าเม็ดสีดำเล็กนั้นคือเม็ดทรายขนาดประมาณ 3-5 มิลลิเมตร เป็นทรายที่ใช้ในการก่อสร้าง หรือที่เห็นตามตู้ปลาสีออกน้ำตาลพ่อค้าจะนำเอาทรายแห้งใส่ลงไปในกระบะใบใหญ่ พอทรายร้อนระอุได้ที่จนเป็นสีดำก็จะนำเอาลูกเกาลัดใส่ลงไป บางร้านเติมน้ำตาลทรายคั่วรวมกันให้ได้รสหวานบางเจ้าเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่เมล็ดกาแฟคั่วรวมไป เหตุผลที่ต้องใช้เม็ดทราย ก็เพราะเม็ดทรายช่วยเก็บความร้อนไว้ได้ ซึ่งดีนักสำหรับการทำให้เกาลัดสุกถึงเนื้อผลด้านใน เพราะหากสังเกตกันดีๆ เนื้อผลของเกาลัดนั้นจะไม่ติดกับเปลือก ดังนั้นการใช้ทรายที่ร้อนระอุตลอดเวลาจะช่วยให้เนื้อเกาลัดค่อยๆ สุก แต่ต้องหมั่นคนเพื่อไม่ให้เกาลัดไหม้ ซึ่งจะคั่วกันนานราว 30-40 นาที เม็ดทรายนั้นใช้ได้นานกว่า 1 เดือน เรียกว่าคั่วเกาลัดได้หลายกระทะจนทรายที่เป็นเม็ดเริ่มป่นเป็นผงนั่นแหล่ะจึงจะเปลี่ยนไปใช้เม็ดทรายชุดใหม่
ที่มา : นิตยสาร ครัว krua vol. 13 no. 149 November 2006

เกาลัดหนึ่งในของโปรดที่เราคนนี้ชอบกินเป็นประจำ...เลยนำข่าวนี้มาขบคิดกันนะ

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แด่...ทุกๆคน


อีกไม่กี่วันก็จะผ่านพ้น ปี 52 ไปอีกแล้ว มันเวลาช่างผ่านไปแสนรวดเร็ว
ในโอกาสนี้ก็ขอฝากบทกลอนดีๆไว้ให้กับทุกคนในโอกาสนี้

365 วันผ่านไป
อดใจไม่ไหว..ว่ามันไวเหมือนล้อเล่น
ปีใหม่มาแล้วอย่าทำใจเย็น
มาเริ่มต้นทำตัวเป็นคนดีดี
ปีใหม่..ต้องทำอะไรใหม่ๆ
เริ่มต้นอะไรที่สดใสกว่านี้
ให้รางวัลกับตัวเองด้วยสิ่งดีดี
ต้อนรับวันพรุ่งนี้ Happy New Year


ขอให้สำลักความสุข
ขอให้ทุกข์กระเด็น
ขอให้เห็นรอยยิ้ม
ขอให้อิ่มความรัก
ขอให้หนักเงินทอง
ขอให้มองฟ้าสวย
ขอให้รวยความฝัน
ขอให้มั่นความดี
ขอให้มีแรงใจ
ในปีใหม่ นี้เทอญ
ตำนานขนมครก
คุณกระทิหรือ พ่อกะทิ ชายหนุ่มโผงผางผู้กำพร้าพ่อแม่ อยู่ตัวคนเดียว พูดจริงทำจริง เอาการเอางาน เสร็จจากงานนาก็มารับจ้างขี่กระต่ายส่งคนเข้าซอย ทุกคนในบ้านล้วนรักและเอ็นดูคุณกะทิ

ยกเว้นผู้ใหญ่ปรั่ง เพราะผู้ใหญ่ปรั่งมีลูกสาวสวยที่ดันมาหลงรักคุณกะทิด้วยเช่นกัน แม่แป้ง ลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ปรั่ง สาวสวยประจำหมู่บ้าน นางเจอกับคุณกะทิในวันลอยกระทง

ทั้งคู่ขี่กระต่ายสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงไร ทั้งคู่ก็จะขอ เอาความรักที่แท้จริงฝ่าฟันข้ามไป

แล้วคุณกะทิก็รวบรวมเอาเงินทองเท่าที่เก็บสะสมมาได้ไปบ้านผู้ใหญ่ปรั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้ง ซึ่ง ผู้ใหญ่ปรั่งก็ต้อนรับมันอย่างดีด้วยชายฉกรรจ์ 6 คนพร้อมอาวุธครบมือ คุณกะทิก็ไม่ว่ากระไร ได้แต่ พาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้านนอนหยอดข้าวต้มหลายวัน ด้วยใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะ มาขอใหม่ ขอไปจนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน

ในที่สุดผู้ใหญ่ปรั่งก็ปิดหนทางความรักของคุณกะทิด้วยการคลุมถุงจัดงานแต่งงานให้ลูกสาวกับ ปลัดหนุ่มจากบางกอก คุณกะทิรู้ข่าว รีบวิ่งทุรนทุรายหมายจะทำลายพิธี ซึ่งผู้ใหญ่ปรั่งก็รู้ดีว่า คุณกะทิต้องมาทำแบบนี้

จึงขุดหลุมพรางดักรอไว้ แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายก็แอบหนีหมายจะ ห้ามคนรักไม่ให้หลงกล

เหตุการณ์ต่อไปนี้ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์แต่ได้ปะติดปะต่อจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ปากต่อปากมาว่า

คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม แม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดักหน้าคุณกะทิ คุณกะทิเห็นแม่แป้งดีใจรีบไปหา แม่แป้งเห็นคุณกะทิ รีบวิ่งมากรีบวิ่งเข้าไปหาให้เร็วขึ้นไปอีก ฉับพลัน....ร่างของแม่แป้งก็ร่วงหล่นไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ปรั่งต่อหน้าต่อตาคุณกะทิทันที

อารมณ์ตกใจ คุณกะทิรีบกระโดดลงไปเพื่อช่วยเหลือ แต่สมุนชายฉกรรจ์ทั้ง 6นายของผู้ใหญ่ปรั่งไม่ทันนึก รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบเพราะคิดว่าที่ ก้นหลุมมีเพียงคุณทิผู้เดียวที่อยู่ในนั้น

รุ่งเช้า.....ผู้ใหญ่ปรั่งเดินอมยิ้มเข้ามาขุดหลุมเพื่อดูผล ภาพเบื่องล่างพบคุณกะทิ ตระกองกอดร่าง แม่แป้งลูกสาวของตน นอนตายคู่กันอย่างมีความสุข

เมื่อยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่ปรั่งสั่งลูกสมุนสร้างเจดีย์คลุมครอบปิดหลุมนั้นไว้เพื่อเป็นเครื่อง เตือนใจคนทั่วไปว่า อย่าคิดทำร้ายหรือทำลายความรักของใครอีกเลย... สถานที่ตั้งเจดีย์นั้นไม่มีใครรู้แน่นอน

จะมีกันก็แต่เพียงอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรมหกค่ำเดือนหก ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของคุณกะทิกับแม่แป้งจะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวาน

ปรุงจากแป้งและกะทิ บรรจงแคะจากพิมพ์แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่าจะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป

ขนมนี้เรียกกันในนาม ขนมแห่งความรักหรือ ขนมของคนรักกัน ที่เรียกกันย่อๆว่า ขนม ค.ร.ก

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า...ของความรัก

เรื่องเล่า ... ของความรัก

ในอดีตกาลนามมาแล้ว เขาว่ากันว่า มนุษย์ทุกคนมีหัวใจด้วยกันจริงทั้งหมดสองดวง แต่ยังมีเทวดาน้อยอยู่องค์นึง ซึ่งไม่รู้จักสิ่งที่เขาเรียกว่าหัวใจ ด้วยความที่สงสัยว่าหัวใจนั้นมันเป็นอย่างไร เทวดาน้อยจึงได้ไปถามนางฟ้าผู้ที่ดูแลทางเข้าออกของประตูสวรรค์ "ท่านนางฟ้า โปรดบอกข้า หัวใจคืออะไร" "หัวใจ ก็คือสิ่งบริสุทธิ์ สวยงามที่สุดของมนุษย์ยังไงเล่า" "แล้วสิ่งที่เรียกมนุษย์อยู่แห่งใดล่ะ" "อยู่เบื้องล่างอีกฟากของประตูสวรรค์" "เปิดประตูให้ข้าไปชมหัวใจของมนุษย์ได้มั้ย ท่านนางฟ้า" "มิได้หรอก มันผิดกฎของสวรรค์ เจ้ากลับไปซะเถอะ แค่เจ้ามาสนทนากับข้าก็ผิดมากเท่าใดแล้ว เจ้ารู้ตัวมั้ย เจ้าเทวดาน้อย" เทวดาน้อยทำทีว่าหันหลังกลับไป แต่ด้วยความที่อยากได้หัวใจมาครอบครองไว้เป็นของตน จึงได้นำคันศรธนูมา แล้วยิงไปที่นางฟ้าผู้รักษาประตูสวรรค์ หวังจะให้นางฟ้านั้นสลบไปในชั่วข้ามคืนนั้นเอง หลังจากนั้น เทวดาน้อยแอบเปิดประตูสวรรค์แล้วบินไปยังโลกมนุษย์ กลางดึกของคืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ มนุษย์ทุกคนต่างหลับกันหมดแล้ว เทวดาน้อยจึงแอบบินเข้าไปในบ้านของมนุษย์ทุกคน แล้วไปเอาสิ่งที่เรียกว่าหัวใจของทุกคนบนโลกมนุษย์ มาคนละหนึ่งดวง แล้วนำลอยขึ้นไปบนสวรรค์ หวังจะขโมยกลับไปเป็นของตน แต่ระหว่างที่เทวดาน้อยกำลังกลับเข้าไปปากทางของประตูสวรรค์ได้มีนางฟ้าและเทวดาแห่งความรักยืนกั้นอยู่ เทวดาน้อยเห็นดังนั้นจึงบินหนี แต่นางฟ้าองค์นึงได้บินตามเพื่อมาแย่งหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดไว้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหัวใจทั้งหมดได้เกิดกระจายออกแล้วร่วงโปรยปรายไปยังบนโลกมนุษย์ ทำให้เกิดการสลับสับเปลี่ยนเจ้าของหัวใจกันในค่ำคืนนั้นเอง เทวดาน้อยถูกลงโทษ ด้วยการให้เป็นเด็กตลอดกาล และเปลี่ยนชื่อเป็นกามเทพให้อยู่บนโลกมนุษย์ เพื่อตามหาหัวใจอีกดวงของมนุษย์ทั้งหมดที่ไปอยู่กับใครอีกดวงหนึ่งให้มาพบกัน ตอนนี้หัวใจของคุณอีกดวงหนึ่งก็คงอาจจะอยู่กับใครบนโลกใบนี้ก็เป็นได้ อย่ารอให้กามเทพ เป็นคนหาหัวใจให้คุณ ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องตามหาหัวใจของคุณคืนมา และเมื่อคุณได้มันคืนมาแล้ว จงดูแลหัวใจคุณให้ดี อย่าได้ปล่อยให้หัวใจจากคุณไปอีก เพราะคุณอาจจะไม่มีวันเจอหัวใจอีกดวงที่แท้จริงของคุณตลอดชีวิต หรือชั่วชีวิตก็เป็นได้

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


ดินสอกันยางลบ เขียน-ลบ
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้นทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกันหน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบหน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลาเวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมาจนกระทั่ง ดินสอเอ่ยกับยางลบว่าเรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว ยางลบจึงถามว่า ทำไมล่ะ ดินสอจึงตอบกลับไปว่า ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย ยางลบจึงเถียงว่า เราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิด ทั้งคู่จึงแยกทางกันดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิด ข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรก มีแต่รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด มันคิดถึงยางลบจับใจฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจ ที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไปพอเวลาผ่านไปมันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบ มันคิดถึงดินสอจับใจทั้งคู่จึงกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งทีดีๆส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิดเท่านั้นถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี แต่พอเปลี่ยนไปมันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้นส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืมยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี แต่ยิ่งลบมากเท่าไรตัวมันก็จะสกปรกมากเท่านั้นแต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดีหรือคือการให้อภัยนั่นเองฉะนั้นการเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ การที่เราจะอยู่ร่วมกันก็เช่นกัน เราควรกระทำดังนี้คือจำแต่สิ่งดีๆของกันและกัน และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดของแต่ละฝ่ายและรู้จักให้อภัยผมขอให้ทุกคนเป็นอย่างดินสอกับอย่างลบในช่วงตอนหลังนะแล้วคุณจะมีความสุข

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บทความโดนใจ


25 เหตุผลที่ "คนอกหัก" ต้องมีชีวิตอยู่

1. อยู่เพื่อคนที่เรารัก ซึ่งมีเยอะมากมาย พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง

2. อยู่กินอาหารอร่อยๆของโปรด

3. อยู่เพื่อหาแฟนใหม่ (ให้ได้และให้ดีกว่าเดิม)

4. อยู่เพื่อทำสิ่งดีๆให้กับโลก โลกกำลังรอคนดี มีฝีมืออย่างเรา

5. อยู่เพื่องานที่กองสุมอยู่บนโต๊ะ ถ้าไม่มีเราสักคนใครจะสะสางได้

6. อยู่เพื่อให้เห็นว่าเราเป็นคนเก่ง ที่จะผ่านวิกฤติของชีวิตไปได้

7. อยู่เพื่อพิสูจน์ว่าเวลารักษาแผลใจได้จริงๆ

8. อยู่เพื่อที่จะฟังเพลงอกหักทุกเพลง ที่แต่งขึ้นมาเพื่อเรา และมันจะเพราะมาก

9. อยู่เพื่อที่จะได้พูดคุยเรื่องแฟชั่นกับเพื่อนๆต่อไป

10. อยู่เพื่อที่จะเล่าเรื่องของวันนี้ เป็นเรื่องตลกในวันพรุ่งนี้

11. อยู่เพื่อที่จะดูหนังโรแมนติก คอมเมดี้ และบู๊ล้างผลาญ

12. อยู่เพื่อที่จะใช้ชีวิตแบบสบายโดยไม่ห่วงว่า เราจะต้องโทรบอกใครหรือใครจะต้องโทรบอกเรา

13. อยู่เพื่อที่จะรู้ว่าค่าโทรศัพท์ของเราลดลง จะสามารถซื้อของที่อยากได้มานาน

14. อยู่เพื่อที่จะรู้ว่าจริงๆแล้ว ก็แค่กลับมาทำตัวให้เหมือนตอนที่ยังไม่ได้รู้จักเขาเท่านั้น

15. อยู่เพื่อที่จะแต่งตัวตามสบาย ตามสไตล์เรา

16. อยู่เพื่อที่จะดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้น

17. อยู่เพื่อที่จะรู้ว่า ความสวยของคนเราไม่ได้หยุดชะงักเหมือนความสูง

18. อยู่เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า คนอื่นก็เจอ……และเขาก็อยู่ได้

19. อยู่เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า ชีวิตหนึ่ง….ต้องเจอบ้าง

20. อยู่เพื่อที่จะรู้ว่าการเสียน้ำตาเยอะๆไม่ทำให้ร่างกายเสียศูนย์เหมือนโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

21. อยู่เพื่อที่จะต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อให้คติ ข้อคิดกับคนอื่นได้

22. อยู่เพื่อที่จะพูดคุยกับเพื่อนฝูงเรื่องเฮฮาปาร์ตี้ ไม่ใช่ปรึกษาปัญหาหัวใจอีกต่อไป

23. อยู่เพื่อที่จะเรียนรู้ว่าการเดินคนเดียวทำให้พื้นที่เดินเยอะขึ้น

24. อยู่เพื่อที่จะเพิ่มคนเข้มแข็งให้กับโลกอีกคนหนึ่ง

25. อยู่เพื่อให้เขาเห็นว่า ไม่มีเขา แต่โลกก็ยังหมุนและเราก็ไม่ตาย


" ขอบคุณจริงๆสำหรับบทความข้างต้นที่ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจและเห็นคุณ เห็นสิ่งดีๆที่ห้อมล้อมเรา ซึ่งบ้างครั้งเราอาจจะมองข้ามสิ่งดีๆเหล่านั้นไป"

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตะลุยพระธาตุดอยเขาควาย

จากการที่พวกเราว่างจากการเรียนในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ข้าพและเพื่อนๆจึงถือโอกาสพากันไปเที่ยว แต่ทั้งนี้การไปเที่ยวของพวกเราก็ไม่ได้ไร้สาระเพราะพวกเรานั้นไปทำบุญที่วัดพระธาตุดอยเขาควาย ข้าพเจ้าจึงเก็บบรรยากาศที่พวกเราไปเที่ยวที่วัดแห่งนี้มาเล่าให้ผู้สนใจได้ไปเที่ยวชม เริ่มจากการเดินทางขึ้นบนพระธาตุ ซึ่งจะมีอยู่ 2 เส้นทางทางแรกจะเป็นการขับรถขึ้นไปบนรถ ส่วนอีกทางจะเป็นการขับรถไปสู่บันได แล้วเดินขึ้นบันไดไป ซึ่งใครสะดวกทางไหนก็ตามใจนะคะ เมื่อไปถึงบริเวณวัดแล้วพวกเราก็ไปกราบไหว้พระพุทธรูปและสิ่งสักดิ์ของพระธาตุแห่งนี้ ตามด้วยการไปทำบูญใส่บาตร108 และพระประจำวันเกิด และส่วนคนไหนที่สนใจเรื่องของโชคชะตาก็จะพากันไปเซียมแซมซีหรือทำนายจากหมอดูใครสนใจในเรื่องของตำนานแมงสี่หูห้าตาก็ไปแวะดูถ้ำรอดที่เคยเป็นที่อยู่ของแมงสี่หูห้าตา ซึ่งเชื่อกันว่าแมงสี่หูห้าตากินถ่านร้อนเป็นอาหารและถ่ายออกมาเป็นทองคำ ทิ้งท้ายด้วยการไปยืน ณ จุดชมวิวที่ทำให้เห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองเชียงราย ใครที่สนใจก็อย่าลืมไปแวะเที่ยวชมนะคะเพราะใช่เวลาในการเดินทางไม่มากนัก ได้ทำบุญและได้ความสุขไปพร้อมๆกันเลย

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทักทายวันสบายๆ

ต้อนรับสู่วันเสาร์ที่แสนจะสบายแม้ว่าวันหยุดครั้งนี้จะมีงานที่ต้องทำส่งอาจารย์อยู่หลายวิชาก็ตาม ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าบางครั้งมีงานที่ต้องทำส่งอาจารย์อยู่หลายวิชา แต่จะรู้สึกว่ายังสบายกว่าการไม่มีงานให้ทำส่ง คงเพราะตัวเราไม่อยากอยู่นิ่งเฉยปล่อยเวลาไปกับความว่างเปล่าที่มีแต่จะคิดเรื่องเศร้าๆไปวัน วันนี้และขณะเราได้มานั่งพิมพืบทความครั้งนี้ในร้านเกมรู้สึกว่าบรรยากาศในร้านเกมนี้มีชีวิตชีวา ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะเล่นเกมต่างๆนานา คงจะมีแต่เราแล้วละมั๊งที่มานั่งพิมพ์ข้อความเป็นตัวอักษร ตลกกับตัวเองจริงๆเล่นเกมก็ไม่เป็นกับเขา บางครั้งการได้มาสัมผัสชีวิตที่แปลกใหม่ไม่อยู่กับเรื่องเดิมๆเหตุการณ์เดิมๆมันก็ดีเหมือนกันนะ เพราะเหมือนว่าเราจะได้เป็นกบที่ไม่อยู่เพียงแต่ในกะลา ที่ไม่เคยลืมตาดูโลกในปัจจุบัน...ขอขอบคุณปัจจุบันที่ทำให้เรารู้สิ่งใหม่ๆรอบตัวเราอยู่เสมอ แม้ว่าปัจจุบันมันจะทำให้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างแปรเปลี่ยนไปก็ตามที

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กระทงหลงทาง


ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปกับงานวันลอยกระทง วันที่หนุ่มสาวชอบพากันไปลอยกระทงกันเป็นคู่ๆและก็คงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คงไม่มีคู่ลอยกระทงดังเช่นกับเราคนนี้ ปีนี้ก็คงเป็นอีกปีที่เราต้องลอยกระทงหลงทางอีกเช่นเคยแต่ก็น่าจะชินได้ละเพราะวันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ในความโชคร้ายก็ย่อมมีสิ่งดีๆเข้ามาเสมอ เพราะเป็นอีกปีที่เพื่อนเก่าของฉันคนนี้ยังไม่เคยลืมกันยังอุสาพากันไปลอยกระทงทำให้ชีวิตของฉันก็ยังมีสีสันไม่ถึงกับจืดชืดเกินไป...ขอขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ทำให้เราคนนี้ยังไม่อ้างว้างอยู่คนเดียวบนโลกนี้เพราะเรายังมีพ่อแม่ มีเพื่อนที่รักเราเสมอ สิ่งนี้เองที่ทำให้ฉันยังไม่เคยลืมคนที่เรารักและคนที่รักเราเสมอ

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สามอาทิตย์กับการเรียน

ต้องพบกับการลุ่นระทึกไปกับการเผชิญหน้ากับเกรดอีกสองวิชาของเทอมหนึ่งที่ได้เรียนผ่านมา เกรดมันจะออกแล้วนะแต่ยังทำใจไม่ได้เลยเพราะมันเป็นวิชาที่ยากสำหรับฉันเหลือเกิน มีเพื่อนหลายคนที่ได้เกรดน้อยมาก เราก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน พูดไปพูดมารู้ไหมว่าขณะนี้เราเองก็ยังไม่กล้าเปิดดูเกรดที่ออกมาเลย กลัวจริงๆกลัวเกรดที่ออกมาจะทำให้ฉันคนนี้ทำใจไม่ได้ เฮ้ย...ชีวิตหนอชีวิต เมื่อไหร่เราจะเรียนเก่งเหมือนกับเขาบ้างหนอ จะได้ไม่ต้องลุ้นระทึกกับความโชคร้ายของการอาภัพเกรดแบบนี้อีก ดังนั้นการเรียนของเทอมสอง ปีการศึกษา 2552 นี้ เราคนนี้จะต้องตั้งใจเรียนให้มากกว่าเดิมเพื่ออนาคตข้างหน้าจะได้ไม่อาภัพเกรดอีก...จงจำไว้...สู้ๆเรา

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

2 สัปดาห์กับการเปิดเรียน


ในที่สุดก็ถึงวันเปิดเรียนอีกตามเคย...รู้ไหมว่าเราเปิดเรียนมาสองสัปดาห์แล้วนะ แต่รู้สึกว่าเรายังอยู่กับอดีต รู้สึกเหนื่อย ท้อ มันเป็นอาการอย่างไรไม่รู้บอกไม่ถูก เสียงหัวเราะของเพื่อนที่สนุกสนาน เฮฮาปาร์ตี้เหมือนสมัยที่ฉันอยู่ตอนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหายไปไหนหมดนะ...แต่เราก็ต้องเข้าใจกับปัจจุบัน ว่าปัจจุบันเราเป็นนักศึกษา มีภาระหน้าที่กับการเรียน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องรับผิดชอบ แต่มีสิ่งหนึ่งทีฉันคนนี้ไม่ชอบเลยคือการแข่งขันกัน คงจะดีถ้าหากโลกนี้ไม่มีคำว่า "การแข่งขัน" เกิดขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้เลยกับการแข่งขันเพราะสิ่งนี้เองมันจะช่วยให้เราเกิดการพัฒนาในหลายๆด้าน แต่หากเราแข่งขันกันมากเกินไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นเกมชีวิต